วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บทที่ 1 ความรู้เกี่ยกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม

บทที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม

1.ความหมายของคอมพิวเตอร์

           ความหมายของคอมพิวเตอร์ (Computer) หมายถึง  การนับหรือคำนวณ โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.. 2554 ได้ให้ความหมายคอมพิวเตอร์ว่า “เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์” คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ในการด้านการคิดคำนวณ และสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้ เพื่อการเรียกใช้งานครั้งต่อไป นอกจากนี้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ ได้ความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนขอโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถอีกหลายอย่าง เช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่อง และสามารถประมวลจากข้อมูลต่างๆได้ ทั้งนี้มีความต้องการที่จะเรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า “เครื่องสมองกล” แต่ไม่เป็นที่นิยม จึงเรียกทับทรัพย์ว่า “เครื่องคอมพิวเตอร์”


2.ประเภทของเครื่องคอมพิวเตอร์

     คอมพิวเตอร์มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่เมื่อพิจารณาตามขนาดแล้ว จะสามารถแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ออกเป็น 6 ประเภทด้วยกัน คือ

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer)


1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer)
    คุณลักษณะ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดและขีดความสามารถสูงที่สุด ภายฝนประกอบไปด้วยหน่วยประมวลผลกลาง หรือซีพียู (CPU : Central  Processing Unit ) นับพันตัวที่สามารถคำนวณด้วยความเร็วกว่าหลายล้านล้านคำสั่งต่อวินาที จัดเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพงที่สุดและเร็วที่สุดตามความหมายของคำว่า "ซูเปอร์" (Super) นั่นเอง
    ประเภทของงาน เหมาะกับงานประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล เช่น การวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การค้นคว้าทางด้านอากาศยานและอาวุธยุทโธปกรณ์ การสำรวจสำมะโนประชากร งานพยากรณ์อากาศ การออกแบบอากาศยาน  การสร้างแบบจำลองระดับโมเลกุล การวิจัยนิวเคลียร์ และการทำลายรหัสลับ

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)


2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
    คุณลักษณะ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขีดความสามารถรองจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่รองมาจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถประมวลผลข้อมูลได้ถึง 10 ล้านคำสั่งภายใน  1 วินาที
   ประเภทของงาน คอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมเหมาะสำหรับใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร โรงงานอุตสาหกรรม  สายการบิน บริษัทประกันภัย มหาวิทยาลัย  และหน่วยงานที่มีขนาดใหญ่  คอมพิวเตอร์แบบนี้จะมีพังความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมนับล้านรายการ โดยใช้ระยะเวลาอันสั้นผู้ใช้ที่ต้องการเชื่อมโยงและเข้าถึงเครื่องเมนเฟรม จะต้องใช้งานผ่านเครื่องเทอร์มินัล (Terminal) ซึ่งมีเพียงจอภาพและคีย์บอร์ด โดยใช้สำหรับป้อนข้อมูลและแสดงผลลัพธ์ได้เท่านั้น เนื่องจากตัวเทอร์มินัลไม่มีหน่วยประมวลผลในตัวจึงต้องใช้ทรัพยากรทุกอย่างบนเครื่องเมนเฟรมทั้งสิ้น เช่น ซีพียู หน่วยความจำ และหน่วยจัดเก็บข้อมูลซึ่งเรียกรูปแบบการทำงานนี้ว่า  การประมวลผลแบบรวมศูนย์ (Centralized Data Processing) ทั้งนี้ ถ้าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ทำงานผ่านเครื่องเทอร์มินัล จะสามารถประมวลผลด้วยความเร็วกว่าพันล้านคำสั่งต่อวินาที
          ระบบคอมพิวเตอร์ของเครื่องเมนเฟรมมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับผู้ใช้ได้หลายร้อยคนพร้อมๆกัน ซึ่งผู้ใช่เหล่านั้นอาจจะนั่งทำงานอยู่ใกล้เครื่องเมนเฟรมหรืออาจจะอยู่ที่อื่นซึ่งไกลออกไปก็ได้เครื่องเมนเฟรมจะเก็บโปรแกรมของผู้ใช้เหล่านั้นไว้ในหน่วยความจำหลักและมีการสับเปลี่ยนหรือสวิตซ์การทำงานระหว่างโปรแกรมต่างๆ เหล่านั้นอย่างรวดเร็วโดยที่ผู้ใช้จะไม่รูปสึกเลยว่ามีสับเปลี่ยนการทำงานไปทำงานของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานเร็วกว่ามนุษย์มากหลักการที่เครื่องเมนเฟรมสามารถทำงานหลายโปรแกรมพร้อมๆกันนั้น เรียกว่า “มัลติโปรแกรมมิ่ง” (Multiprogramming)



มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer)
คุณลักษณะ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง ซึ่งมีขนาดเล็กรองลงมาจากเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีประสิทธิภาพในการทำงานด้อยกว่าเครื่องเมนเฟรม เนื่องจากความจุของหน่วยความจำมีขนาดน้อยกว่า และสามารถประมวลผลข้อมูลได้เพียง  1 ล้านคำสั่งภายใน 1 วินาที
ประเภทของงาน เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น


คอมพิวเตอร์ประเภทเวิร์กสเตชั่น (Workstation)


4.เวิร์กสเตชั่น (Workstation) 
     คุณลักษณะ คอมพิวเตอร์แบบเวิร์กสเตชั่น หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สถานีวิศวกรรม (Engineering Workstation) ถูกนำมาใช้ตั่งแต่ช่วงปี ค.. 1980 เป็นต้นมา เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบภายนอกคล้ายกับเครื่องซีพีทั่วไป แต่มีราคาแพงกว่าและมีขีดความสามารถสูงกว่ามาก
    ประเภทของงาน  ปกติคอมพิวเตอร์แบบเวิร์กสเตชั่นหรือสถานีงานวิศวกรรม มักถูกใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์งานด้านการแพทย์ งานคำนวณทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมที่มีความซับซ้อน รวมถึงการนมาใช้เป็นคอมพิวเตอร์ช่วยงานออกแบบ และคอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต (Computer-Aided Design/computer-Aided Manufacturing : CAD/CAM )
          ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ มีจุดเด่นของงาน คือเรื่องกราฟิก การสร้างรูปภาพและการทำงานภาพเคลื่อนไหว การสร้างกราฟิกแบบแอนิเมชันแบบสามมิติ การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็นเครือข่าย ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีปะสิทธิภาพ



คอมพิวเตอร์ประเภทไมโครโฟน (Microcomputer)


5.ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
    คุณลักษณะ ไมโครคอมพิวเตอร์ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เครื่องซีพี (Personal Computer : PC) จัดเป็นคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีประสิทธิภาพสูงเหมาะสำหรับเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานขนาดเล็ก สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้ทั้งแบบ Stand Alone ( ใช้งานแบบเดี่ยว ๆ ไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย) หรือนำมาใช้เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
  ประเภทของงาน เหมาะกับงานธุรกิจขนาดเล็กและนิยมนำมาใช้งานที่บ้านหรือสำนักงาน เนื่องจากราคาถูกและสามารถใช้งานได้เพียง 1 คนต่อ 1 เครื่องเท่านั้น
1.   คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือเดสก์ท็อปพีซี (Desktop PC) เป็นเครื่องซีพีที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้บนโต๊ะ โดยทั่วไปจะมีขนาดใหญ่กว่าและมีปะสิทธิภาพมากกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลชนิดอื่นๆ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะประกอบด้วยชิ้นส่วนที่แยกออกจากกัน ส่วยประกอบที่เรียกว่า หน่วยระบบ มักจะเป็นเครื่องทรงสีเหลี่ยม ที่เรียกว่า เคส (Case) ซึ่งวางอยู่บนหรือใต้โต๊ะส่วนประกอบอื่นๆ เช่น จอภาพ เมาส์ แป้นพิมพ์ จะเชื่อมต่อ กับหน่วยงาน
2.  คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กหรือแล็ปท็อป (Notebook/laptop) คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เป็นซีพีแบบเคลื่อนที่ได้ มีน้ำหนักเบาและมีหน้าจอที่บาง หรือมักจะเรียกกันว่า คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพราะมีขนาดเล็กแล็ปท็อปสามารถทำงานโดยใช้แบตเตอรี่ ซึ่งสามารถนำแล็ปท็อปไปได้ทุกที่ อย่างไรก็ตาม แล็ปท็อปจะไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เนื่องจากรวม CPU หน้าจอ  และแป้นพิมพ์ไว้อยู่ในตัวเครื่องเดียวกันหน้าจอจะพับลงบนแป้นพิมพ์เมื่อไม่ได้ใช้งาน
นอกจากนี้แล้ว คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กยังมีอีก 2 รูปแบบ ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีใช้กันแล้ว คือ

คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กหรือแล็ปท็อป  (Notebook/Laptop)

2.1        อัลตร้าบุ๊ก (Ultra book) เป็นโน้ตบุ๊กที่เน้นความบางและน้ำหนักเบามีจอภาพขนาดใหญ่ตั่งแต่ 13-17 นิ้ว สำหรับความบางของตัวเครื่องจะบางน้อยกว่า 21 มม.ลงไป และมีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง
2.2           เน็ตบุ๊ก (Netbook)  มีหน้าจอขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก คือ มีขนาดประมาณ 8.9 – 11.6 นิ้ว มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว น้ำหนักเบาราคาถูกกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เหมาะสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่าการใช้โปรแกรมในการปฏิบัติงานหรือเล่นเกมต่างๆ



3.    แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ (Tablet Computer ) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่รวมคุณลักษณะของแล็บท็อปละคอมพิวเตอร์มือถือเข้าด้วยกัน แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์เหมือนแล็ปท็อป คือ  มีประสิทธิภาพมากและมีหน้าจอแบบในตัวเหมือนกับคอมพิวเตอร์มือถือตรงที่อนุญาตให้สามารถเขียนบันทึกหรือวาดภาพบนหน้าจอ โดยทั่วไปใช้ปากกาแท็บเล็ต แทนที่จะเป็นสไตลัส นอกจากนี้ ยังสามารถแปลงลายมือให้เป็นข้อความแบบพิมพ์ได้ แท็บเล็ตพีซีบางเครื่องเป็นแบบ “พับ” โดยมีหน้าจอที่หมุนได้และเปิดออกเพื่อให้เห็นแป้นพิมพ์ที่อยู่ด้านล่างได้

แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ


3.1       Convertible Tablet มีโครงสร้างเดียวกับคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก แต่ตัวจอภาพสามารถหมุนแล้วพับซ้อนบนคีย์บอร์ด หรือสามารถที่จะแยกส่วนได้


3.2        State Table เป็นแท็บเล็ตที่มีเพียงแค่หน้าจอคล้ายกับกระดานชนวน จะมีคีย์บอร์ดในตั แต่บางยี่ห้อสามารถใช้ปากกา (สไตลัส) เป็นอุปกรณ์อินพุต แทนคีย์บอร์ด เช่น Samsung Galaxy Note




เครื่องปาล์ม (Palm)
แฟบเล็ต (Phablet)
3.3      อุปกรณ์พกพา (Personal Degital Assistant : PDA) เป็นอุปกร์คอมพิวเตอร์พกพาขนากเล็กที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตได้ รวมไปถึงความสามารถของการเพิ่มเติมแอพพลิเคชั่น (Application) เพื่อให้ใช้งานด้านอื่นๆ มีขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์แต่มีขนาดเท่ากับหรือใกล้เคียงกับโทรศัพท์มือถือเมื่อก่อนนี้จะมีเครื่องปาล์ม (Palm)
                  แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้แล้ว แต่มีเครื่องที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เรียกว่า แฟบเล็ต (Phablet) ที่มีลักษณะเป็นมือถือกับแท็บเล็ต และสามารถที่จะใช้ต่ออินเทอร์เน็ตได้




6.ไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontrollers) เป็นคอมพิวเตอร์แบบฝังตัว (Embedded Computers) คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ มีขนาดเล็ก ป้อนโปรแกรมเพื่อให้ทำงานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะซึ่งสามารถสังเกตได้จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปในปัจจุบัน มักจะมีชิ้นส่วนหรือโปรแกรมนี้แทบทั้งสิ้น เช่น โทรทัศน์สมาร์ททีวี เครื่องไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า เป็นต้น                                                                 

3.อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunications)
          อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นเครื่องมือในการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษรภาพและเสียง โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการติดต่อสื่อสารจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งโยใช้พลังงานไฟฟ้าให้ไหลไปตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแสง หรือโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณไปในบรรยากาศ เช่น การส่งวิทยุ โทรทัศน์ การสงคลื่นไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม โดยจุดที่ส่งข่าวสารกับจุดรับจะอยู่ห่างไกลกัน และข่าวสารที่ส่งจะเฉพาะเจาะจงผู้รับคนใดคนหนึ่งหรือส่งให้ผู้รับทั่วไปก็ได้

4.องค์ประกอบของระบบโทรคมนาคม
          ระบบโทรคมนาคม (Telecommunications Systems) คือ ระบบที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จำนวนหนึ่งที่สามารถทำงานร่วมกันและถูกจัดไว้สำหรับการสื่อสารข้อมูลจากสถานที่แห่งหนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งสามารถถ่ายทอดข้อความ ภาพกราฟิก เสียงสนทนา และ วีดิทัศน์ได้ มีรายละเอียดของโครงสร้างส่วนประกอบดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือเปลี่ยนปริมาณใดให้เห็นเป็นไฟฟ้า (Transducer) เช่น โทรศัพท์ หรือ ไมโครโฟน
2. เครื่องเทอร์มินัลสำหรับการรับข้อมูลหรือแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์
3. อุปกรณ์ประมวลผลการสื่อสาร (Transmitter) ทำหน้าที่แปรรูปสัญญาณไฟฟ้าให้เหมาะสมกับช่องสัญญาณ เช่น โมเด็ม (Modem) มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer) แอมพลิไฟเลอร์ (Amplifier) ดำเนินการได้ทั้งรับและส่งข้อมูล
4.ช่องทางสื่อสาร (Transmission Channel) หมายถึงการเชื่อมต่อรูปแบบใด ๆ เช่น สายโทรศัพท์ใยแก้วนำแสง สายโคแอกเซียล หรือแม้แต่การสื่อสารแบบไร้สาย
5.ซอฟแวร์การสื่อสาร ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมการรับส่งข้อมูลและอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร

5.หน้าที่ของระบบโทรคมนาคม
          ระบบโทรคมนาคม ทำหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร (Receiver) จะดำเนินการจัดการลำเลียงข้อมูลผ่านเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด จัดการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่จะส่งและรับเข้ามา สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งที่เกล่าวมานี้ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการ ในระบบโทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ในการรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างชนิด ต่างยี่ห้อ แต่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้เพราะชุดคำสั่งมาตรฐานชุดเดียวกัน กฎเกณฑ์มาตรฐานในการสื่อสารนี้เรียกว่า "โปรโตคอล (Protocol) " อุปกรณ์แต่ละชนิดในเครือข่ายเดียวกันต้องใช้โปรโตคอลอย่างเดียวกัน จึงจะสามารถสื่อสารถึงกันและกันได้ หน้าที่พื้นฐานของโปรโตคอลคือการทำความรู้จักกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่อยู่ในเส้นทางการถ่ายทอดข้อมูล  การตกลงเงื่อนไขในการรับส่งข้อมูล การตวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การแก้ไขปัญหาข้อมูลที่เกิดการผิดผลาดในขณะที่ส่งออกไปและการแก้ปัญหาการสื่อสารขัดข้องที่อาจเกิดขึ้น โปรโตคอลที่รู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 

6.ประเภทของสัญญาณในระบบโทรคมนาคม
          ข้อมูลอาจจะเป็นข้อความเสียง หรือภาพเคลื่อนไหว ซึ่งไม่สามารถส่งไปในระยะทางไกลด้วยความเร็วสูงดังนั้น ข้อมูลจะต้องถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เรียก สัญญาณข้อมูล (Data Signal) ทำให้สามารถส่งผ่านสื่อไปได้ในระยะทางไกลด้วยความเร็วสูง ข้อมูลจะถูกแปลงเป็นสัญญาณข้อมูลได้ 2 ประเภท ดังนี้
สัญญาณแอนะล็อก (Analog Signal)
          หมายถึง สัญญาณข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) มีขนาดของสัญญาณไม่คงที่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลักษณะเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกันไป โดยการส่งสัญญาณแบบแอนะล็อกจะถูกรบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดได้ง่าย เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์ เป็นต้น


สัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)
          หมายถึง สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data)
ที่มีขนาดแน่นอนซึ่งขนาดดังกล่าวอาจกระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า คือ สัญญาณระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุดซึ่งสัญญาณดิจิทัลนี้เป็นสัญญาที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและติดต่อสื่อสารกัน


  

บทที่ 2 ข้อมูลสารสนเทศและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

บทที่2 ข้อมูลสารสนเทศและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1.ความหมายของข้อมูล

            ข้อมูล(Data) หมายถึง  สิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคน  สัตว์  สิ่งของ สถานที่หรือเหตุการณ์  ฯลฯ  โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการสื่อสาร  การแปลงความหมายและการประมวลผล  ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกตการรวบรวม  การวัด  ข้อมูลเป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใด ๆ  ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่องตัวอย่างของข้อมูล  เช่น ชื่อนักเรียน  เพศ  อายุ  คะแนนสอบ เป็นต้น
            สรุป  ข้อมูล คือ ข่าวสาร  ข้อความ  ตัวเลขและข้อเท็จจริง  ไม่ว่าจะเป็นคน  สัตว์   สิ่งของ   หรือเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่ยังไม่ประเมินหรือปรุงแต่งให้สามารถถูกนำไปใช้ได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
2.ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์จะมีทั้งหมด  แบบ  คือ
            1.ข้อมูลตัวเลข (Number) จะประกอบด้วยตัวเลขเท่านั้น  เช่น  125  3648 เป็นต้น  มักจะนำมาใช้ในการคำนวณ
            2.ข้อมูลอักขระ (Text) ประกอบด้วย  ตัวอักษร ตัวเลขและอักขระพิเศษหรือเครื่องหมายพิเศษต่าง ๆ หรือตัวเลขที่ไม่สามารถนำมาคำนวณได้  เช่น  บ้านเลขที่  13/2 เป็นต้น
            3.ข้อมูลภาพ (Image)  รับรู้จากการมองเห็น  เช่น  ภาพถ่ายคน  ภาพวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ
            4.ข้อมูลเสียง (Sound)  รับรู้จากทางหูหรือการได้ยิน  เช่น  เสียงพูด เสียงเพลง  เป็นต้น
3.ความหมายของสารสนเทศ (Information)
            สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว อาจใช้วิธีง่าย ๆ  เช่น หาค่าเฉลี่ยหรือใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การวิจัยดำเนินงาน  เป็นต้น เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลทั่วไปให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์หรือมีความเกี่ยวข้องกัน  เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจให้คำตอบปัญหาต่าง ๆ ได้สารสนเทศประกอบด้วยข้อมูลเอกสาร  เสียง  หรือรูปภาพต่าง ๆ  แต่จัดเนื้อเรื่องให้อยู่ในรูปที่มีความหมายสารสนเทศไม่ใช่จำกดเฉพาะเพียงตัวเลขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
            ถ้ากล่าวง่าย ๆ คือ ข้อมูลเป็นข้อมูลดิบ  แต่สารสนเทศ เป็นข้อมูลที่ทำการประมวลผลแล้ว เช่น คะแนนสอบเต็ม 100 คะแนน แต่นำมาตัดเกรดแล้ว เกรดนั้นคือ  สารสนเทศ หรือข้อมูลที่นำมาหาค่าเฉลี่ยหรือสรุปผลแล้ว ข้อมูลนั้นก็คือ สารสนเทศ
            เมื่อได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคำว่า  "ข้อมูล" และ "สารสนเทศ" แล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ (Information System) ซึ่งมีความหมายคือ กระบวนการประมวลผลข่าวสารที่มีอยู่ ให้อยู่ในรูปของข่าวสารที่เป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นข้อสรุปที่ใช้สนับสนุนการตัดสินใจของบุคคลระดับบริหาร กระบวนการที่ทำให้เกิดข่าวสารสนเทศนี้  เรียกว่า  การประมวลผลสารสนเทศ (Information Processing) และเรียกวิธี การประมวลผลสารสนเทศด้วยเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ว่า เทคโนโลยีสารสรเทศ (Information  Technology : IT)
4.ระบบสารสนเทศ (Information System)
            ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งฮาร์ดแวร์   ซอฟต์แวร์   ระบบเครือข่าย   ฐานข้อมูล ผู้พัฒนาระบบ  ผู้ใช้ระบบ  พนักงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญในสาขา  ทุกองค์ประกอบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด รวบรวม จัดเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างสารสนเทศและส่งผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ได้ให้ผู้ใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงาน การตัดสินใจ การวางแผน การบริหาร การควบคุม   การรวิเคราะห์และติดตามผลการดำเนินงานขององค์กร
            หรือในอีกมุมมองหนึ่ง ระบบสารสนเทศ หมายถึง ชุดขององค์ประกอบที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผลจัดเก็บ และแจกจ่ายสารสนเทศ เพื่อช่วยการตัดสินใจและการควบคุมในองค์กร ในการทำงานของระบบสารสนเทศประกอบไปด้วยกิจกรรม 3 อย่าง คือ การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) การประมวลผล (Processing)และการนำเสนอผลลัพธ์ (Output) ระบบสารสนเทศอาจจะมีการสะท้อนกลับ (Feedback) เพื่อการประเมินและปรับปรุงข้อมูลนำเข้า  ระบบสารสนเทศอาจจะเป็นระบบที่ประมวลด้วยมือ (Manual) หรือระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ (Computer-Based Information System : CBIS ) (Laudon & Laudon, 2001) แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงระบบสารสนเทศ มักจะหมายถึงระบบที่ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคม
            สรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศ ก็คือ ระบบของการจัดเก็บ ประมวลผลข้อมูล โดยอาศัยบุคคลและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการ  เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมกับงานหรือภารกิจแต่ละอย่างหรือระบบสารสนเทศเป็นการนำข้อมูลมาจัดกระทำให้เป็นหมวดหมู่  มีระเบียบแบบแผน เพื่อสะดวกต่อการค้นคืนหรือการเรียกใช้ในการตัดสินใจและการดำเนินงานขององค์กร
5.ประเภทของระบบสารสนเทศ
            ปัจจุบันการทำงานของแต่ละองค์กรจะมีความเกี่ยวพันกับระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศชัดเจนมากขึ้น และเนื่องจากการบริหารงานแต่ละองค์กรอาจแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไป ระบบสารสนเทศสามารถจำแนกได้ตามลักษณะการดำเนินงานได้ ดังนี้
1.ระบบสารสนเทศแบบประมวลรายการ (TPS : Transactio Processing Systems)
            เป็นระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการบันทึกและประมวลข้อมูลที่เกิดจากธุรกรรม หรือการปฏิบัติงานประจำหรืองานขั้นพื้นฐานขององค์กร เช่น การซื้อขายสินค้า  การบันทึกจำนวนวัสดุคงคลัง  เมื่อใดก็ตามที่มีการทำธุรกรรมหรือปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวข้อมูลที่เกี่ยวข้องข้องจะเกิดขึ้นทันที เช่น ทุกครั้งที่มีการขายสินค้า ข้อมูลที่เกิดขึ้นก็คือ  ชื่อลูกค้า  ประเภทของลูกค้า จำนวนและราคาของสินค้าที่ขายไป รวมทั้งวิธีการชำระเงินของลูกค้า
2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS : Management Information System)
            คือ  ระบบที่ให้สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการ  เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยจะรวมทั้งสารสนเทศภายในและภาพนอก  สารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและปัจจุบัน นอกจากนี้  ระบบนี้จะต้องให้สารสนเทศในช่วงที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และ การปฏิบัติการขององค์กรได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าผู้บริหารที่จะได้รับผลประโยชน์จากระบบนี้สูงสุดคือ  ผู้บริหารระดับกลาง  แต่โดยพื้นฐานของระบบนี้แล้วจะเป็นระบบที่สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ผู้บริหารทั้งสามระดับ คือ ทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลางและผู้ริหารระดับสูงโดยระบบนี้จะให้รายงานที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากรากฐานข้อมูลทั้งหมดของบริษัท
3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS : Decision Support System)
            เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบ MIS อีกระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ประสบการณ์หรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบ MIS ของบริษัท สำหรับทำการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานปกติแต่บ่อยครั้งที่ผู้ตัดสินใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารในระดับสูงและระดับกลางจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ประกอบด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะประมวลเข้าด้วยกันได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้เกิดระบบนี้ขึ้น ซึ่งเป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการเฉพาะของผู้บริหารแต่ละคน (Made by Order)ในหลาย ๆ สถานการณ์ ระบบนี้มีหน้าที่ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปได้อย่างสะดวก
4.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม (GDSS : Group Decision Support System)
            เป็นระบบย่อยหนึ่งระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ โดยที่ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยผู้บริหารในเรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน หรือกึ่งโครงสร้าง ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจจะใช้กับบุคคลเดียวหรือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็นกลุ่ม นอกจากนั้น ยังมีระบบสนับสนุนผู้บริหารเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
5.ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS : Geographic Information System)
            ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือ กระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากกฎบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมายใช้งานได้ง่าย
6.ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (EIS : Excutive Information System)
            เป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ หรือ สามารถกล่าวได้ว่าระบบนี้คือส่วนหนึ่งของ DSS ที่แยกออกมา เพื่อเน้นการให้สารสนเทศที่สำคัญต่อการบริการแก่ผู้บริหาร
7.ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence)
            ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการในสาขาหนึ่ง คล้ายกับมนุษย์ ระบบผู้เชี่ยวชาญมีส่วนคล้ายคลึงกับระบบอื่น ๆ คือ เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทำการตัดสินใจได้ดีขึ้น  อย่างไรก็ดี ระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอื่นอยู่มาก เนื่องจากระบบผู้เชี่ยวชาญจะเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ (Knowledge) มากกว่าสารสนเทศ และถูกออกแบให้ช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ โดนใช้หลักการทำงานด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
8.ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (OAS : Office Automation System)
            เป็นระบบที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด โดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน QAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ (Paperless System ) แต่จะทำการส่งข่าวสารถึงกันด้วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange ) แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะ คือ รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-Mail ) โทรสาร (FAX) หรือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ (Voice Mail ) เป็นต้น
            รูปแบบการประชุมทางไกลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Eiectonic Meeting System )เป็นเทคนิคที่ทำให้กลุ่มคนทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ คล้ายกับการพูดคุยกันโดยตรง เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing ) การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video Conferencing ) หรือทั้งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรสารและเสียงอิเล็กทรอนิกส์รวมกัน
6.องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
            ระบบสารสนเทศ (Information System) คือ ระบบจัดการข้อมูลจำนวนมากให้เหลือสารสนเทศจำนวนน้อย โดยระบบนี้จะช่วยจัดการข้อมูลที่ต้องการใช้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขและข่าวสาร เพื่อช่วยในการดำเนินธุรกิจและการตัดสินใจ ซึ่งระบบสารสนเทศจะใช้หรือไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ มีองค์ประกอบสำคัญๆมี 6 อย่าง ดั้งนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ เป็นเครื่องมือในการที่ช่วยในการจัดการสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผล คัดเลือก คำนวณ หรือพิมพ์รายงานผลตามที่ต้องการ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานได้รวดเร็ว มีความแม่นยำในการทำงาน และทำงานได้ต่อเนื่อง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ
2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ลำดับขั้นตอนคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซอฟต์แวร์ จึงหมายถึงชุดคำสั่งที่เรียงเป็นลำดับขั้นตอน สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามต้องการ และประมวลผลเพื่อให้ได้สรสนเทศที่ต้องการ
3.  บุคลากร (Personnel) คือ ผู้ที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ บุคลากรภายในองค์กรเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้เกิดระบบสารสนเทศด้วยกันทุกคน เช่น ร้านขายสินค้าแห่งหนึ่ง บุคลากรที่ดำเนินการในร้านค้าทุกคน ตั้งแต่ผู้จัดการถึงพนักงานขาย เป็นส่วนประกอบ
4.  ขั้นตอนการปฏิบัติ (Process) คือ เป็นระเบียบวิธีการปฏิบัติงานในการจัดเก็บรักษาข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่จะทำให้เป็นสารสนเทศได้ เช่น กำหนดให้มีการป้อนข้อมูลทุกวัน ป้อนข้อมูลให้ทันตามกำหนดเวลามีการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องอยู่เสมอ กำหนดเวลาในการประมวลผล การทำรายงาน การดำเนินการต่างๆ ต้องมีขั้นตอนหากขั้นตอนใดมีปัญหาระบบก็จะมีปัญหาด้วย เพราะทุกขั้นตอนมีผลต่อระบบสารสนเทศ
5.    ข้อมูล (Data) คือ เป็นวัตถุดิบที่ทำให้เกิดสารสนเทศ ข้อมูลที่เป็นวัตถุดิบจะต่างกันขึ้นอยู่กับสารสนเทศที่ต้องการ เช่น ในสถานศึกษามักจะต้องการ สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนักเรียน ข้อมูลผลการเรียน ข้อมูลอาจารย์ ข้อมูลการใช้จ่ายต่างๆ ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งที่มีบทบาทต่อการทำให้เกิดสารสนเทศ
6.   เครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล(Network and Communication) คือ ระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดี คือ อินเทอร์เน็ต
7. ความหมายของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่าย (Network) หมายถึง  ระบบที่มีการคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องมาเชื่อมต่อเข้าเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันในระบบได้ และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบร่วมกันได้
    เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือ การนำกลุ่มคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย ผ่านสื่อกลางส่งข้อมูล ที่อาจเป็นสานเคเบิลหรือคลื่นวิทยุเป็นเส้นทางการส่งข้อมูลให้สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานบนเครือข่ายสามารถใช้งานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์และข้อมูลร่วมกันได้ ในทำนองเดียวกับการสื่อสารกับบุคคลอื่น ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ถูกหล่อหลอมรวมเข้าด้วยกันกับเครือข่ายโทรศัพท์และเครือข่ายการสื่อสารที่สามารถส่งผ่านได้ทั้งข้อมูลและเสียง นอกจากนี้ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็มีอยู่หลายขนาดด้วยกัน ตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานส่วนตัว จนถึงเครือข่ายขนาดใหญ่คือ ระบบอินเทอร์เน็ตที่มีการเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งโลกเข้าด้วยกัน
8. ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
    เครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นจะมีหลายประเภทสามารถใช้หลักเกณฑ์ในการแบ่งได้หลายวิธี แต่ถ้าหากแบ่งประเภทของเครือข่ายตามขนาดและระยะทางที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์การสื่อสาร เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้
1. เครือข่ายท้องถิ่น หรือเครือข่ายแลน (Local Area Network : LAN )
2. เครือข่ายระดับเมือง หรือเครือข่ายแมน (Metropolitan Area Network : MAN)
3. เครือข่ายระดับประเทศ หรือเครือข่ายแวน (Wide Area Network : WAN)
4. เครือข่ายไร้สาย (Wireless Local Area Network : WLAN )

1. เครือข่ายท้องถิ่น(LAN)
     เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)  เป็นระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ในบริเวณใกล้เคียงเข้าด้วยกัน ซึ่งระยะทางไกลสุดที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ แบบไม่ติดขัดประมาณ  100 เมตร มีการเชื่อมต่อแบบ Client-Server ระหว่างเครื่องลูกข่าย (Client) กับเครื่องบริการกลาง (Server) ที่ให้บริการกับผู้ใช้จำนวนไม่มาก ความสามารถในการทำงานของระบบเครือข่ายถูกกำหนดไว้ที่เครื่อง Server เพียงเครื่องเดียวที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ระบบเครือข่าย (Network Operating System : NOS) เช่น Novell Netware 




Microsoft Windows Server และ IBM’s OS/2 Warp Server ซึ่งทำหน้าที่กำหนดเส้นทางเดินข้อมูลในเครือข่าย และการจัดการการสื่อสารตลอดจนควบคุม ประสานการใช้ทรัพยากรทั้งหมด ตัวอย่างการใช้เครือข่าย เช่น เครือข่ายในสำนักงานขนาดเล็ก ที่มีการเชื่อมต่อระหว่าคอมพิวเตอร์ด้วยกัน และอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ ทำให้สามารถแบ่งปันการใช้ทรัพยากรได้

2. เครือข่ายระดับเมือง (MAN)
เป็นเครือข่ายที่สื่อสารได้ระยะไกลกว่าเครือข่ายท้อถิ่น (LAN) และระยะไกลน้อยกว่าเครือข่ายระดับประเทศ (WAN) สามารถรับ ส่งข้อมูลได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเครือข่ายในเขตเมืองครอบคลุมพื้นที่ในอำเภอหรือในจังหวัดเดียวกันโดยอาจเป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ขององค์กรเข้าด้วยกัน เช่น การต่อคอมพิวเตอร์ของสาขาต่าง ๆ ในเขตเมือง เพื่อสื่อสารแบ่งปันข้อมูลระหว่างในองค์กร



3.เครือข่ายระดับประเทศ (WAN)
                เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับองค์กร ระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศ ซึ่งเครือข่ายระดับประเทศ (WAN) จะเชื่อมต่อระยะทางไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารไม่สูงมากนักเครือข่ายระดับประเทศ (WAN) จะทำให้ทุกบริษัท ทุกองค์กร ทุกหน่วยงานเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของตนเองเข่าสู่เครือข่ายกลาง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และทำงานร่วมกันในระบบที่ต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เช่น ธนาคารที่มีสาขาทั่วประเทศ มีบริการรับฝากถอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม เป็นต้น เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายระดับประเทศ (WAN) นั้นมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาดาวเทียมเส้นใยนำแสง คลื่นวิทยุ และสายเคเบิลทั้งที่วางไปตามถนนหรือวางใต้น้ำ



4.ระบบเครือข่ายไร้สาย(Wireless LAN)
            เครือข่ายไร้สาย (WLAN) เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีการจัดการทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กรต่าง ๆ ทั้งองค์กรเดิมที่มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์อยู่แล้วและองค์กรที่เกิดขึ้นใหม่ที่กำลังวางแผนติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Wireless LAN (WLAN)ไม่ใช้เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มาทดแทนเครือข่ายแบบใช้สัญญาณ ( Wired Network) แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถขยายเครือข่ายแบบใช้สัญญาณได้ นอกจากนั้น ยังถูกนำไปใช้ในบริเวณที่การติดตั้งสายสัญญาณมีอุปสรรคทางด้านภูมิศาสตร์หรือในบริเวณที่ต้องการความรวดเร็วในการติดตั้งเครือข่ายใหม่สำหรับการทำงานแบบชั่วคราว ซึ่ง WLAN มีความสะดวกรวดเร็วในการติดตั้งและรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เครือข่าย ในปัจจุบันเครือข่าย WLAN ได้มีการพัฒนามาตรฐานหลายมาตรฐาน และมาตรฐานที่ได้รับความนิยมใช้มากที่สุด คือ มาตรฐาน IEEE 802.11



9.รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย
            รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายนี้ เรียกว่า เน็ตเวิร์กโทโพโลยี (Network Topologies) สามารถแบ่งออกได้ 5 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
1.แบบบัส (Bus)  ลักษณะของโทโพโลยีแบบบัส จะมีสายเคเบิลเส้นหนึ่งที่ใช้เป็นสายแกนหลัก โดยทุก ๆ โหนดบนเครือข่ายจะต้องเชื่อต่อเข้าสายเส้นนี้ จึงดูเหมือนกับราวแขวนเสื้อผ้า รูปแบบการเชื่อมต่อในลักษณะนี้ มีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ประหยัดสายสื่อสาร แต่ถ้าสานแกนหลักขาดหรือมีปัญหา จะส่งผลให้เครือข่ายล้มทั้งหมด
คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบบบัส
2.แบบดาว (Star) เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่แต่เดิมนั้นนำมาใช้กับเครื่องระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ที่ใช้เป็นศูนย์กลางแม่ข่าย และมีลูกข่ายอย่างเครื่องเทอร์มินัลเชื่อมต่อ แต่ในปัจจุบันโทโพโลยีแบบดาวนิยมนำมาใช้เชื่อมต่อบนเครือข่ายทั่วไป โดยจะมีอุปกรณ์ฮับ ที่ใช้เป็นศูนย์กลางการควบคุมของสายสื่อสารทั้งหมดกล่าวคือ ทุก ๆ โหนดบนเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับ ฮับ (Hub)
คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบบดาว


3.แบบวงแหวน (Ring) เป็นการเชื่อมต่อกันด้วยสายสัญญาณจากโหนดหนึ่งไปยังโหนดหนึ่งต่อกันไปเรื่อย ๆจนกระทั่งโหนดแรกและโหนดสุดท้ายได้เชื่อมต่อถึงกัน จึงเกิดรูปแบบวงกลมหรือวงแหวนขึ้นมา โดยคอมพิวเตอร์หรือโหนดแต่ละโหนด จะเชื่อมต่อกันในลักษณะจุดต่อจุดสัญญาณจะถูกส่งทอดจากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่งบนทิศทางเดียวกัน และจะส่งทอดต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้ แต่ละโหนดในวงแหวนจะทำหน้าที่เป็นเครื่องทวนสัญญาณไปในตัว
คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบบวงแหวน
4.แบบเมช (Mesh) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเต็มรูปแบบ แต่ละโหนดจะสื่อสารผ่านสัญญาณที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างเต็มที่ และหากมีสายสัญญาณบางลิงก์ขาดไป ก็สามารถเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน จึงจัดเป็นรูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีความคงที่มีความคงทนสูงมาก แต่ก็สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสายสัญญาณมากเช่นกัน
           
คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบบเมช